กรีนฟีเฉลี่ยและค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทยอยู่ที่เท่าไหร่?

ประเทศไทย เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักกอล์ฟทั่วโลก ด้วยการผสมผสานระหว่างทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกของสนามกอล์ฟที่ได้มาตรฐานสากล และการบริการอย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะวางแผนทริปกอล์ฟมายังดินแดนแห่งรอยยิ้ม นักท่องเที่ยวควรทำความเข้าใจรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทยเสียก่อน เนื่องจากราคาอาจแตกต่างกันไปตามทำเลสนาม ช่วงเวลาออกรอบ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ เช่น แคดดี้และรถกอล์ฟ

ในรีวิวนี้ จะพาคุณไปเจาะลึก โครงสร้างค่าใช้จ่ายการเล่นกอล์ฟในหลายเมืองหลักของประเทศไทย ตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปจนถึงเชียงใหม่ พร้อมทั้งเปรียบเทียบสนามหลายระดับ ทั้งพรีเมียม ระดับกลาง และแบบประหยัด มาติดตามรายละเอียดไปพร้อมกันในรีวิวจาก GoGolf

ปัจจัยกำหนดค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทย

กรีนฟีเฉลี่ยและค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทยอยู่ที่เท่าไหร่?

โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทยสำหรับหนึ่งรอบ (18 หลุม) อยู่ที่ประมาณ 1,500–5,500 บาท ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สนามกอล์ฟราคาประหยัดไปจนถึงสนามระดับพรีเมียม ความแตกต่างของราคาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักหลายประการ ได้แก่:

  • ทำเลสนามกอล์ฟ: สนามที่ตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวพรีเมียม เช่น ภูเก็ตและกรุงเทพฯ มักมีค่ากรีนฟีสูงกว่าสนามในเชียงใหม่หรือพัทยา
  • ระดับและสิ่งอำนวยความสะดวกของสนาม: สนามที่ได้รับการจัดอันดับสูงทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ มักมีค่าบริการแพงกว่า โดยเฉพาะสนามที่มีคลับเฮาส์หรู แฟร์เวย์ที่ดูแลอย่างสมบูรณ์ และบริการแคดดี้มืออาชีพ
  • ช่วงเวลาในการเล่น: วันธรรมดามักมีราคาถูกกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันนักขัตฤกษ์ บางสนามยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ ไนท์กอล์ฟ
  • จำนวนผู้เล่นและแพ็กเกจ: ราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการจองแบบเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม รวมถึงการเลือกแพ็กเกจที่รวมแคดดี้และรถกอล์ฟไว้แล้ว

ควรทราบด้วยว่า ค่ากรีนฟีส่วนใหญ่รวมบริการแคดดี้และรถกอล์ฟแล้ว แต่ ไม่รวมทิปสำหรับแคดดี้ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในประเทศไทย

จองสนามกอล์ฟง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ผ่านแอป GoGolf ดาวน์โหลดเลยฟรี!

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเล่นกอล์ฟในกรุงเทพฯ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเล่นกอล์ฟในกรุงเทพฯ

ในฐานะที่กรุงเทพฯ เป็นทั้งเมืองหลวงและศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทย เมืองนี้มีสนามกอล์ฟให้เลือกมากมาย ทั้งในตัวเมืองและพื้นที่โดยรอบ บางแห่งยังติดอันดับเป็นหนึ่งในสนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

สนามกอล์ฟพรีเมียมในกรุงเทพฯ

สนามอย่าง Thai Country Club และ Alpine Golf and Sports Club ถือเป็นไอคอนของกอล์ฟระดับไฮเอนด์ และมักถูกใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกอล์ฟระดับนานาชาติ ค่ากรีนฟีในสนามประเภทนี้อยู่ที่ประมาณ 130–150 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,700–5,400 บาท) ในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันนักขัตฤกษ์ ราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 25–30%

สนามกอล์ฟระดับกลางและประหยัด

สำหรับนักกอล์ฟที่มองหาทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า กรุงเทพฯ ก็มีสนามอย่าง Kota Thana และ Pinehurst ที่มีค่ากรีนฟีประมาณ 80–90 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,900–3,300 บาท) ขณะที่สนามกอล์ฟระดับประหยัด เช่น Kung Krabaen และ Ratchakram มีค่าใช้จ่ายเพียง 40–45 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,400–1,600 บาท) เท่านั้น

ถึงแม้จะมีราคาที่ถูกกว่า แต่สนามกอล์ฟเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ยังคงมาตรฐานแฟร์เวย์และกรีนที่ได้รับการดูแลอย่างดี พร้อมบริการจากพนักงานที่มีความเป็นมืออาชีพ

ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟที่ภูเก็ต: เกาะท่องเที่ยวกับสนามระดับพรีเมียม

ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟที่ภูเก็ต: เกาะท่องเที่ยวกับสนามระดับพรีเมียม

ภูเก็ตถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ด้วยบรรยากาศแบบทรอปิคอล ชายหาดอันสวยงาม และรีสอร์ทหรูหรามากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่สนามกอล์ฟในพื้นที่นี้จะอยู่ในระดับพรีเมียมและมีราคาค่อนข้างสูง

สนามกอล์ฟระดับโลก

สนามชื่อดังในภูเก็ต ได้แก่ Red Mountain Golf Club, Blue Canyon Country Club, และ Laguna Golf Phuket ตัวอย่างเช่นที่ Red Mountain ค่ากรีนฟีอยู่ที่ประมาณ 4,250–5,500 บาทต่อคน (รวมแคดดี้และรถกอล์ฟแล้ว) หรือคิดเป็นราว 150–160 ดอลลาร์สหรัฐ

ทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า

สำหรับสนามกอล์ฟระดับกลาง เช่น Loch Palm Golf Club ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 120–130 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สนามกอล์ฟระดับประหยัดอย่าง Phuket Country Club จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 95–110 ดอลลาร์สหรัฐ ที่สำคัญ สนามกอล์ฟในภูเก็ต ไม่มีการบวกเพิ่มราคาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้วางแผนงบประมาณได้ง่ายและยืดหยุ่นมากขึ้น

ค่าใช้จ่ายการเล่นกอล์ฟที่พัทยาและหัวหิน: ตัวเลือกคุ้มค่าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ค่าใช้จ่ายการเล่นกอล์ฟที่พัทยาและหัวหิน: ตัวเลือกคุ้มค่าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

ทั้ง พัทยา และ หัวหิน ต่างก็ขึ้นชื่อในเรื่องบรรยากาศการพักผ่อนที่ผ่อนคลาย และราคาที่ค่อนข้างเป็นมิตร แต่ถึงอย่างนั้น คุณภาพของสนามกอล์ฟในทั้งสองพื้นที่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่แข่งขันได้

หัวหิน: สนามกอล์ฟมาตรฐานนานาชาติ

สนามกอล์ฟชื่อดัง เช่น Black Mountain Golf Club และ Banyan Golf Club จัดเป็นสนามระดับท็อป โดยมีค่ากรีนฟีเฉลี่ยอยู่ที่ 120–125 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสนามระดับกลาง เช่น Springfield และ Seapine ค่ากรีนฟีจะอยู่ในช่วง 120–130 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแทบไม่ต่างกันมากนัก

ถ้าใครมองหาตัวเลือกที่คุ้มค่าและประหยัดกว่า ก็ยังมีสนามกอล์ฟที่มีค่ากรีนฟีเพียง 80–85 ดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ลดทอนคุณภาพและความสะดวกสบายในการเล่น

พัทยา: ตัวเลือกหลากหลาย ราคาคุ้มค่า

ที่พัทยา คุณจะพบสนามกอล์ฟระดับแชมเปียนชิพอย่าง Siam Country Club ซึ่งมีค่ากรีนฟีอยู่ที่ประมาณ 100–120 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสนามระดับกลาง เช่น Burapha Golf Club และ Khao Kheow ค่ากรีนฟีจะอยู่ที่ราว 55–60 ดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ยังมีสนามกอล์ฟประหยัด เช่น Pattavia และ Silky Oaks ที่คิดค่ากรีนฟีเพียง 40–45 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ควรทราบว่า แตกต่างจากหัวหิน ที่พัทยาราคาจะปรับเพิ่มขึ้นราว 25–30% ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟที่เชียงใหม่และเชียงราย: จุดหมายคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้

ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟที่เชียงใหม่และเชียงราย: จุดหมายคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้

มิภาค ภาคเหนือของประเทศไทย กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักกอล์ฟที่มองหาบรรยากาศสงบ อากาศเย็นสบาย และราคาที่เป็นมิตร

สนามกอล์ฟคุณภาพพร้อมวิวธรรมชาติ

สนามชื่อดังอย่าง Alpine Golf Resort Chiang Mai, Santiburi Chiang Rai Country Club และ Gassan Khuntan มอบประสบการณ์การเล่นกอล์ฟระดับพรีเมียม ในราคาที่คุ้มค่ากว่าภูมิภาคตอนใต้ของไทย

อัตราค่ากรีนฟีในเชียงใหม่โดยเฉลี่ย:

  • สนามพรีเมียม: 90–110 ดอลลาร์สหรัฐ
  • สนามระดับกลาง: 70–80 ดอลลาร์สหรัฐ
  • สนามประหยัด: 60–65 ดอลลาร์สหรัฐ

หนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญของการออกรอบที่เชียงใหม่คือ ไม่มีการบวกเพิ่มราคาในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันนักขัตฤกษ์ ทำให้การจัดสรรงบประมาณทำได้ง่ายและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า

องค์ประกอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ควรพิจารณา

แม้ว่าค่ากรีนฟีส่วนใหญ่จะรวมแคดดี้และรถกอล์ฟแล้ว แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางอย่างที่ควรคำนึงถึง ได้แก่:

  • ทิปสำหรับแคดดี้: โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 300–500 บาทต่อรอบ
  • ค่าขนส่ง: หากเลือกเล่นในสนามนอกเมือง มักจะมีแพ็กเกจทัวร์กอล์ฟที่รวมค่ารถรับ–ส่งโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • แพ็กเกจเล่นเป็นกลุ่ม: หลายสนามกอล์ฟมีส่วนลดพิเศษสำหรับการจองแบบกลุ่มตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป
  • ไนท์กอล์ฟ: สนามบางแห่งในเชียงใหม่และกรุงเทพฯ มีรอบไนท์กอล์ฟพร้อมราคาพิเศษ ราว 1,500 บาทต่อรอบ

สรุป: ประเทศไทย มอบความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับการท่องเที่ยวกอล์ฟ

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป ค่าใช้จ่ายในการเล่นกอล์ฟในประเทศไทยถือว่ามีความสามารถในการแข่งขันสูง แม้จะมีสนามระดับพรีเมียมที่มีราคาสูง แต่ก็ยังมีทางเลือกมากมายสำหรับนักกอล์ฟที่มีงบประมาณระดับกลางหรือจำกัด

โดยทั่วไป ค่ากรีนฟีสำหรับ 18 หลุมในประเทศไทยมีดังนี้:

  • สนามราคาประหยัด: ประมาณ 1,500 บาท (ราว 40 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับไนท์กอล์ฟหรือสนามท้องถิ่น
  • สนามระดับกลาง: 2,500–3,500 บาท (80–100 ดอลลาร์สหรัฐ)
  • สนามระดับพรีเมียม: 4,000–5,500 บาท (120–160 ดอลลาร์สหรัฐ)

ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง บริการแคดดี้ที่เป็นมืออาชีพ และความหลากหลายของสนามกอล์ฟตั้งแต่ภูเขาทางภาคเหนือไปจนถึงชายฝั่งทางภาคใต้ ประเทศไทยจึงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยว หากแต่ยังเป็น สวรรค์ของนักกอล์ฟตัวจริง

[ Follow our social media Account: GoGolf Instagram | GoGolf Facebook | GoGolf X ]